แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 27470|ตอบ: 154
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

T.jpg



ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี



ข้าพเจ้าได้คัดลอกหนังสือธรรมะ เทศน์โดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี จากหนังสือ "โต พรหมรังษี" รวบรวมโดย เกหลง พานิช ซึ่งเป็นหนังสือที่ผู้รวบรวมได้รวบรวมมาจากพระธรรมเทศนา ซึ่งดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ทรงเสด็จมาเทศน์โปรดสัตว์ในอดีตไว้ที่สำนักปู่สวรรค์


โดยผ่านร่างของมนุษย์ผู้เคยมีกรรมพัวพันและชาตินี้ครองชีวิตอย่างสะอาดดั่งผู้ทรงศีลที่ดี (อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๔ ท่านได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว ฉายาว่า "อริยวังโสภิกขุ" และบำเพ็ญอยู่อย่างสงบในป่า ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้ว เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๘) มีเนื้อหาหนังสือทั้งหมด ๘ เล่ม รวม ๑๔๔ ตอน


คุณเกหลง พานิช ผู้รวบรวมเห็นว่า คำสอนเหล่านี้ไม่ควรเก็บไว้รับรู้เฉพาะกลุ่มสานุศิษย์เท่านั้น เห็นว่าเป็นธรรมะที่ทันสมัยอยู่เสมอ โดยเฉพาะกับโลกาภิวัตน์เช่นนี้ จึงได้รวบรวมให้โครงการธรรมไมตรีดำเนินการจัดพิมพ์ขึ้นมาเผยแพร่ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเผยแพร่ธรรมะสู่ประชาชนทั่วประเทศให้มีโอกาสศึกษาธรรม เพื่อยกระดับจิตของตนให้สูงขึ้น ให้มีเมตตาต่อมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม อันจะนำมาซึ่งความมั่นคงของชาติ


ท่านเชื่อหรือไม่ เป็นสิทธิเสรีภาพของท่าน ผู้รวบรวมใคร่ขอร้องท่านผู้อ่าน จงอ่านอย่างใจเป็นกลางก่อนที่จะลงความเห็น เชื่อหรือไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าทรงสอนหลักกาลามสูตรไว้ให้พิจารณา เราควรใช้หลักนั้นให้เป็นประโยชน์


ขอให้ทุกท่านที่มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้ จงประสบแต่ความดี ปราศจากความทุกข์ มีความสุขความเจริญ ขอให้ดวงตาเห็นธรรมด้วยเถิด



กาลามสูตร

ว่าด้วยข้อควรสงสัย ๑๐ ประการ คือ


๑.  ควรสงสัยในความรู้ซึ่งมีมาแต่โบราณ
๒.  ควรสงสัยในความรู้ที่ได้จากผู้อื่น
๓.  ควรสงสัยในความรู้ที่เล่าลือบอกกล่าวต่อๆ กันมา
๔.  ควรสงสัยในข่าวที่แม้จะได้มาจากผู้ที่เคยเชื่อถือมาก่อน
๕.  ควรสงสัยในความรู้จากครูบาอาจารย์ของเราเอง
๖.  ควรสงสัยในความรู้จากตำรา
๗.  ควรสงสัยในความรู้แม้ของตัวเอง ที่ได้มาจากการเดาหรือคาดคะเน
๘.  ควรสงสัยในความรู้แม้ของตนเอง ที่ได้มาจากการเก็งความจริง
๙.  ควรสงสัยในความรู้แม้ของตนเอง ที่ได้มาจากการคิดพิจารณาจากพยานหลักฐาน
๑๐. ควรสงสัยในความรู้แม้ที่ตัวแน่แก่ใจเอง

เมื่อท่านปฏิบัติตามนี้ได้แล้ว ท่านจะพบสัจธรรมอันแท้จริงได้


o5.png



ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับข้อมูลจาก :         
          • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุด ธรรมะชนะมาร. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, ตุลาคม ๒๕๓๙.
          • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุด โลกหน้ามีจริง ตายแล้วไม่สูญ. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, ๑ มกราคม ๒๕๔๐.
          • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุด สำนักโลกวิญญาณ. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, ๑๙ มกราคม ๒๕๔๐.
          • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุด สงสารสัตวโลก. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, กรกฎาคม ๒๕๔๐.
          • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุด จอมปราชญ์แห่งกรุงสยาม. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, ๑ มีนาคม ๒๕๔๒.
          • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุด ความพิสดารของโลกวิญญาณ. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, ๑ มีนาคม ๒๕๔๒.

          • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุด พลังเหนือมนุษย์. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, ๑ มีนาคม ๒๕๔๒.
          • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุด กฎแห่งกรรม จำแนกบาปบุญ การดุลกรรม. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, ๑ มกราคม ๒๕๕๐.


(แก้ไขข้อมูลล่าสุด : 31 พฤษภาคม 2566)

Rank: 8Rank: 8

DSC03592.1.jpg



9.png



“ผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้นั้นถึงธรรม ผู้นั้นก็รู้ว่าธรรมคืออะไร”

เพราะฉะนั้น เราอยู่ในโลก เราควรจะปฏิบัติตน คือ


๑. การเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น ควรมีสติสัมปชัญญะพร้อมคุ้มตน


๒. อย่าตื่นตูมในการกล่าวของการฟังมาใดๆ ทั้งสิ้น


๓. เมื่อรับฟังแล้วเราต้องพิจารณา ไตร่ตรอง แล้วค่อยเชื่อ ว่าสิ่งนี้จริงหรือไม่จริง



1131245rgf5gktx1tbw1jj.png



บทกลอนธรรมะ


อันความจริง     จิตมนุษย์           แสนผ่องใส

ความรู้แท้         อยู่ในจิต           เหนือสิ่งใด
มนุษย์ไซร้        ไม่เข้าซึ้ง            ถึงความจริง


เกิดเป็นคน       ถึงมีกรรม          ที่ตนสร้าง

สร้างทุกข์นำ     ให้เกิดตน         เพื่อใช้กรรม

วิบากกรรม       ที่ตนทำ             ไม่สิ้นสุด
เสวยกรรม        ตามกฎไซร้       สังสารวัฏ


อันมนุษย์          เกิดเพราะ         กรรมเก่านำ

กรรมนำตน      สู่พิภพ               ปัจจุบัน
ปัจจุบัน            สืบต่อ               อนาคต


อยู่ที่ตน           กระทำ              จุดถึงไซร้
อันจิตตน         พิสดาร              อยู่ที่ตน

ค้นของจิต       ให้ถึงจิต            ย่อมรู้จิต
คนถึงธรรม      ย่อมถึงธรรม      ด้วยการรู้ธรรม


จิตของตน        เคลื่อนไหวไป     ตามภาวะ

สลายไป          ในพิภพ             โลกมนุษย์
แต่จิตหนึ่ง        ยิ้มหนึ่งไซร้        ผ่องใสเอย
ถึงจุดนั้น          ประภัสสร          รู้แจ้งเอย.



IMG_8289-removebg-preview.3-removebg-preview.png



.....จบเนื้อหาหนังสือธรรมะ “โต พรหมรังษี” แล้ว

สวัสดีค่ะ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๔

กรรมบันดาล


(วันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณศุภชัย ระวังนาม : หลวงพ่อสมเด็จครับ ชีวิตมนุษย์นี่ เป็นไปตามกรรมปัจจุบันกี่ส่วน และกรรมในอดีตกี่ส่วนครับ

สมเด็จ : ชีวิตมนุษย์นี่ เกิดขึ้นมาได้เพราะเหตุและปัจจัย เหตุนั้นเกิดจากอะไรเล่า จึงเกิดเป็นคนขึ้นมาได้ ภาวะคืออดีตกรรมส่งผล ๖๐ เปอร์เซ็นต์ จึงทำให้ท่านเกิดเป็นมนุษย์ได้

ทีนี้ท่านจะเกิดได้ ต้องมีปัจจัย คือบิดามารดาประกอบกรรมช่วยท่าน นี่เป็นธรรมะ อย่าอุปทานเป็นเรื่องไม่ดี เมื่อบิดามารดามีส่วนเป็นปัจจัยประกอบให้เหตุนั้นเป็นผลขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์


หลังจากที่ท่านเสวยกรรมอยู่ในปรภพแล้ว ผลแห่งกรรมวิบากที่ท่านอยู่ในสังสารวัฏจะนำท่านไปสู่ในมนุษย์ที่มีกรรมพัวพัน อันนี้หมายความว่า ท่านจะต้องสร้างกุศลมากเพียงพอ ที่จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในการเป็นมนุษย์อีก

pngegg.5.3.1.png




กรรมที่นำสู่อบายภูมิ


สมเด็จ : มนุษย์ที่สร้างอกุศลมาก ตายจากโลกมนุษย์แล้ว บางทีไปเกิดเป็นหมาเกิดเป็นแมว ไม่ใช่เกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะเกิดเป็นมนุษย์อีกเสมอไป

มนุษย์ที่ตายจากโลกมนุษย์แล้วไปอบายภูมิ คือ

๑. มนุษย์ที่มีความอิจฉาประจำใจเป็นสรณะ


๒. มนุษย์ที่คิดทำลายหมู่คณะ


๓. มนุษย์ที่ประจบสอพลอเพื่อผลประโยชน์ของตน โดยไม่คิดถึงผลประโยชน์ส่วนรวม ไม่คิดถึงผลสะท้อนของส่วนรวม ของศาสนา ที่เรียกว่า หนอนศาสนา


มนุษย์เหล่านี้แหล่ ตายจากโลกมนุษย์ ท่านอย่านึกว่าเขาจะเป็นเทวดา เพราะฉะนั้น ท่านจะเห็นว่า ผ้าเหลืองยิ่งห่มยิ่งร้อน เพราะอะไรเล่า เพราะว่าคนห่ม ห่มด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ทั้งกายและใจ เมื่อนั้นก็เท่ากับสร้างบาปในศาสนา

เพราะในหลักแห่งการที่จะเกิดเป็นคนนั้น คือ กุศล อกุศล นำท่านให้วิบากสู่การเป็นคน อกุศลในที่นี้ หมายความว่า อกุศลแห่งการพัวพัน ที่ยังไม่สิ้นภพสิ้นชาติกับผู้ที่จะเป็นบิดามารดาของท่านในปัจจุบันชาติ

เพราะฉะนั้น สรุปแล้วก็ กรรมในอดีต ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ท่านเป็น ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ในปัจจุบัน

ปัจจุบันท่านจะต้องสร้างกรรมดีสู่ปรภพ จึงจะได้สู่ในสังสารวัฏแห่งการเป็นสัตว์ประเสริฐคือมนุษย์ ส่วนเรื่องการสำเร็จโสดาบันอะไรนี่ ยกไว้ต่างหาก ยังไม่ต้องพูดถึง


ถ้าปัจจุบันกรรมนี้ ท่านไม่พยายามจะสร้างกุศลเพื่อค้ำจุนไปในปรภพ ก็ไม่แน่นักว่า เมื่อท่านตายจากโลกมนุษย์ไปแล้ว จะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกหรือไม่

pngegg.5.3.2.png




หลักปฏิบัติตนไปสู่ปรภพที่ดี


สมเด็จ : เมื่อสมัยอาตมามีสังขารอยู่วัดระฆังฯ อาตมาเป็นนักโหราศาสตร์ที่หาตัวจับยาก แต่เมื่อสิ้นจากโลกมนุษย์ไปอยู่พรหมโลก จึงรู้ว่าการเอาหลักแห่งดวงดาวในท้องฟ้ามาพัวพันกับมนุษย์นี้ มีความถูกต้องแม่นยำเพียง ๕๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนอีก ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของมนุษย์ผู้นั้นต่างหากเล่า เรียกว่า การเสวยกรรมของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน และการวิบากของกรรมนั้นถี่ยิบยิ่งกว่าอะไร

ฉะนั้น อาตมามาในโลกมนุษย์ครั้งนี้ จึงไม่ยอมตรวจเรื่องมนุษย์ นอกจากเรื่องใหญ่ๆ หลักๆ ของมนุษย์เท่านั้น เพราะว่ามนุษย์แต่ละคนมีกรรมวิบากของกระแสกรรมในอดีตพัวพันมาถึงปัจจุบัน ปัจจุบันพัวพันไปถึงอนาคต ถี่ยิบยิ่งกว่าอะไร

เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลาย ท่านเกิดเป็นสัตวโลก การเกิดเป็นคนนี้ไม่ใช่ง่าย ถ้าท่านศึกษาพระสูตร ศึกษาพระวินัย ศึกษาพระอภิธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องพระเจ้าห้าร้อยชาติ ท่านจะเห็นว่า ในการที่จะเกิดมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นสิ่งยาก

ปัจจุบันนี้ท่านได้เกิดมาเป็นคน และมีโอกาสมาอยู่ในศาสนาแห่งคำว่าพุทธศาสนาแล้ว ท่านควรจะหมั่นทำความดี มีศีล สัตย์ บริสุทธิ์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ผู้ปฏิบัติความดี ไม่อิจฉาเพื่อนมนุษย์ที่สละความสุขเพื่อคนอื่น พยายามสำรวจตัวเองให้ดีเท่าที่จะดีได้ พยายามรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ แล้วท่านจะเป็นผู้ที่ตายดี เพราะคนเรานี้เกิดก็ต้องการตายดี

ถ้าท่านจะตายดี ท่านจะทำอย่างไรจึงจะตายดี ก็คือ ท่านจะต้องมีศีลมีสัตย์เป็นสรณะ อย่าเบียดเบียนสัตวโลกด้วยกัน หมั่นขัดเกลากิเลสของตัวเอง สำรวจความบกพร่องของตัวเอง อย่าไปสำรวจความบกพร่องของคนอื่น เมื่อนั้น ท่านตายจากโลกมนุษย์นี้ ท่านก็จะมีหวังไปสู่สุคติ


เจริญพร

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๓

ตายแล้วไม่สูญ


(วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๓)



คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต: ลูกเรียนถามมามากแล้ว ทีนี้ลูกจะถามเรื่องง่ายๆ เพื่อคนที่มาในพื้นที่ฟังเข้าใจได้ง่าย ขอเรียนถามว่า คนเรานี่ ตายแล้วสูญไหมเพคะ เพราะว่าเขาเข้าใจกันมากทีเดียวว่า ตายแล้วสูญ ตายแล้วไม่เกิด

สมเด็จ : คนเรานี้ ตายแล้วไม่สูญ เพราะอะไรเล่า?

ท่านอย่าลืมว่า ธรรมชาติแห่งการเวียนว่ายของสสาร ธรรมชาติแห่งการเวียนว่ายของวัตถุ ย่อมมีการเปลี่ยนสภาพของสสารพลังงาน ซึ่งอาตมาได้เทศน์ไว้ในที่นี้แยะแล้วว่า น้ำระเหยขึ้นไปเป็นไอน้ำ ไอน้ำจะกลายเป็นฝนตกลงมา นี่กฎแห่งธรรมชาติในโลกมนุษย์ มนุษย์ย่อมจะต้องเสวยภพและชาติที่ตนสร้าง ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

ถ้าตายแล้วสูญ คำว่า “สูญ” ในที่นี้ ก็คือ สูญจากปัจจุบันชาติ สูญจากกิเลส พระอรหันต์สูญจากกิเลส แต่จิตวิญญาณของอรหันต์ยังมี

ถ้าท่านเชื่อในกฎแห่งสสาร พลังงานแล้ว ท่านย่อมจะต้องเชื่อในกฎแห่งการเวียนว่ายตายเกิด นี่คือ หลักแห่งความจริงที่องค์สมณโคดมแสดงไว้ ไม่ได้ค้านกับวัตถุธรรม (วิทยาศาสตร์)

ที่มนุษย์สอนว่า ตายแล้วสูญ เพราะว่ามนุษย์ผู้นั้น ตัวเองยังทำไม่ถึง ไม่เข้าซึ้งถึงจุดแห่งสัจธรรม ก็นำมาอ้าง ตะกี้อาตมาเทศน์ไว้ว่า อรรถกถาจารย์ขี้เกียจ ก็บอกว่าพระถอนหญ้าไม่ได้ สมัยอาตมาอยู่วัดระฆังฯ บางทีมีพระเณรบางองค์อ้างว่า “ในพระธรรมวินัยบอกว่า พระถอนหญ้าอาบัติ”

อาตมาบอกว่า “เดี๋ยวกูถกผ้าเหลืองเตะมึง ไม่อาบัติ”

การกระทำในสิ่งที่ทำให้เกิดความสะอาดแก่โลก ไม่ได้สร้างบาป เพราะว่าพืชพันธุ์เขามีแต่เพียงธรรมชาติแห่งความเจริญ แต่ไม่มีจิตใจ ไม่มีจิตวิญญาณ หญ้ามีชีวิตไม่มีวิญญาณ มนุษย์ สัตว์ที่เลื้อยคลานเคลื่อนไหวได้ จึงจะมีวิญญาณ

เพราะฉะนั้นในสยามขณะนี้ ผู้ที่ไม่เข้าถึงธรรม ก็พยายามดัดแปลงให้ตายแล้วสูญ เมื่อให้ตายแล้วสูญ กิเลสจะได้ครอบงำมาก เมื่อกิเลสครอบงำแล้ว ความเดือดร้อนในสังคมจึงมีมาก เพราะมนุษย์กลุ่มที่ไม่เข้าถึงศาสนา อันนี้จึงทำให้ปั่นป่วนในโลกมนุษย์ในเรื่องศาสนา เพราะว่าเขาไม่ได้ศึกษาความถ่องแท้ธรรมชาติ แล้วก็ด่วนตั้งตนเป็นอาจารย์

พวกเหล่านี้ อาตมาไม่เคยว่าด่าเขา อาตมาเพียงแต่ว่าสงสารเขา เพราะว่าเขาไม่มีหลักแห่งสัจจะของการเป็นนักพรต และการเป็นบรรพชิตที่แท้จริงในการเป็นสาวกขององค์สมณโคดม

ทุกวันนี้มนุษย์ไม่เข้าถึงสัจธรรม แล้วก็ตั้งตนกัน คือไม่ได้ทำในด้านฌานญาณ วิปัสสนาญาณ ไม่ได้ศึกษาให้ถ่องแท้ในเรื่องนามธรรม ก็เข้าไม่ถึงคำว่า “จิตวิญญาณ”

เมื่อไม่ถึงจิตวิญญาณ ก็เข้าใจว่า “ตายแล้วสูญ” ไม่ศึกษากฎแห่งกรรมอย่างถ่องแท้ พวกนี้แหละ ถ้าว่าตามหลักแล้ว เป็นการส่งเสริมให้คนทำบาป เขาสอนศาสนาแล้วแทนที่จะได้บุญ กลับได้บาป ต้องไปนรก เพราะเข้าไม่ถึงสัจธรรมอันแท้จริง เป็นเรื่องน่าสังเวชที่ไม่ได้ทำตามองค์สมณโคดม

องค์สมณโคดมตรัสว่า “ท่านจะสอนธรรม ท่านต้องปฏิบัติธรรม แล้วค่อยสอนธรรม ก่อนที่ตถาคตจะสอนธรรมท่าน ตถาคตต้องปฏิบัติถึง แล้วตถาคตจึงจะสอน”
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๒

สัตว์กินสัตว์ควรทำอย่างไร


(วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๒)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อครับ เวลาผมเห็นสัตว์ใหญ่มันกินสัตว์เล็ก ผมเอาไม้ไปแหย่ ไปช่วยมัน จะบาปไหมครับ ถ้าผมไม่ช่วยมัน ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

สมเด็จ : สรรพสิ่งในโลกนี้ เขาสร้างมาเป็นคู่ คือสัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็กนั้น เป็นสิ่งธรรมดาของสัตว์ เราไปช่วยเขาเท่ากับเราทำลายอาหารของเขา อันนี้ถ้าให้อาตมาตอบแล้ว อาตมาถือว่าบาป ธรรมะข้อนี้เป็นธรรมะที่พูดง่าย แต่เป็นเรื่องลึกซึ้ง

สานุศิษย์ : เวลาผมไม่ช่วย ผมไม่ค่อยสบายใจครับ

สมเด็จ : นั่นมันเป็นเจตนาของอารมณ์ของเรา ในด้านของการว่า มีเมตตาจิตต่อสรรพสัตว์ ท่านอย่าลืม ท่านอย่านึกว่า ใจท่านเป็นบุญแล้วจะได้บุญเสมอไป บางครั้งทำบุญแต่ได้บาป


เพราะสิ่งนั้นเป็นอาหารของเขา เสมือนหนึ่งเรากำลังกินข้าวอยู่ คนมาเอาชามข้าวเราออกไป เราจะหายหิวไหม เราจะมีความโกรธไหม มันจะเกิดความอาฆาตของเจตนาจิตของสัตว์นั้นๆ ไม่อย่างนั้นจะไม่เรียกว่า กรรมวิบาก มีการจองล้างจองผลาญ มีการจองเวรกัน

คือ ถ้าเราเข้าซึ้งถึงธรรมะ เราก็ควรจะคิดว่า เขากินสัตว์ที่เป็นอาหารของเขา เราใช้หลักแห่งความเมตตา ส่งกระแสจิตช่วยวิญญาณของเขา วิวัฒนาการไปสู่การเป็นสัตว์ที่จะมาบำเพ็ญพ้นทุกข์ได้ ยังจะได้บุญกว่า

pngegg.5.3.1.png




ฆ่าแมวตายเท่ากับฆ่าเณรจริงหรือ


สานุศิษย์ : โบราณว่า ฆ่าแมวตายเท่ากับฆ่าเณรจริงไหมครับ

สมเด็จ : อันนี้เป็นการอุปมาอุปไมย เป็นการขู่ของชาวบ้าน เพื่อให้รักสัตว์ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะว่าในการทำลายสัตว์ใดๆ ด้วยเจตนาย่อมมีบาป

ทีนี้ อาตมาเคยเทศน์ไว้ว่า สัตว์บางตัวฆ่าแล้วได้บุญ สัตว์บางตัวฆ่าแล้วได้บาป เพราะฉะนั้น อันนี้จะต้องแยกแยะ อย่างเทพบางองค์เขามีความผิด เขามีโทษ เช่น มีการคล้อยตามมนุษย์ ซึ่งถือว่าผิดกฎเทวโลก ต้องลงมาเกิด เขาบอกว่า ไม่เอาละ เกิดเป็นมนุษย์นี่ กลับขึ้นสู่สวรรค์ยาก ยิ่งในยุคนี้แล้ว ถ้าลงมาแล้ว ลงหลุมทันทีเลย

ฉะนั้น จึงหาทางที่จะเกิดเป็นสัตว์ในการเสวยกรรมนั้นๆ สัตว์บางตัวเขาอธิษฐานก่อนเกิดว่า เมื่อเกิดเป็นสัตว์นี้ ขอให้อยู่ไปกี่วันๆ แล้วให้มีคนมาฆ่าฉันตาย แล้วฉันจะอนุโมทนา เพื่อจะได้กลับเทวโลก ในที่ประชุมเขาอาจจะตกลง ยอมให้มาเกิดตามนั้น อันนี้มันเป็นเรื่องละเอียดที่อธิบายกันไม่ได้
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๑

สรรพสิ่งในโลกนี้เขาสร้างมาเป็นคู่


(วันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓)



พังพอนกับงูเห่าทำไมกัดกัน


พระเชาวน์ ญาณวีโร : มีเรื่องแปลกอีกอย่างหนึ่งครับ พังพอนกับงูเห่านี้ มันทำไมจึงเป็นปฏิปักษ์กันนัก ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่พอเจอหน้ากันเป็นไม่ได้เลย

สมเด็จ : คือว่า อันนี้เป็นกฎธรรมดาของโลก เขาสร้างมาเป็นคู่ มีคู่สร้างมีคู่ปราบ มีคู่ล้าง นั่นคือกฎธรรมชาติของวัฏฏะ ซึ่งมนุษย์ก็ดำเนินไปสู่ทางแห่งโลกียะ โลกุตระ ถ้าธรรมชาติไม่สร้างให้มีคู่ปราบของงูแล้ว งู่ย่อมมีมากเกิน มนุษย์ย่อมตายเพราะงูแยะ จึงได้สร้างพังพอนขึ้นมาเพื่อเป็นการปราบ

ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาชาวบ้านก็จริง แต่ก็เป็นปัญหาโลกแตก ในฐานะเราเป็นอรรถกถาจารย์ผู้หนึ่งมิใช่หรือ สอนอภิธรรมด้วยนี่หว่า อาตมาตรวจแล้ว

pngegg.5.3.1.png




เทพพรหมบางองค์มาเกิดเป็นสัตว์


พระเชาวน์ : แล้วอย่างยุงกับแมลงวันไม่เห็นมีใครมาปราบ

สมเด็จ : เพราะธรรมชาติแห่งการมาเสวยชีวิตการเป็นยุงนั้น อยู่ได้ไม่นาน ชีวิตของเขาต้องสลายตามสภาพ ท่านอย่าลืม ยุงบางตัวเกิดมาจากเทวดาก็มี ท่านจะเชื่อหรือไม่ อันนี้ขอให้ถือเป็นการฟังนิยาย

เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายที่เคลื่อนไหวได้นั้น ถือว่ามีวิญญาณ ถ้าเราเชื่อว่าโลกวิญญาณมีจริง พรหมโลกมีจริง เทวโลกมีจริง ยมโลกมีจริง ยมบาลมีจริง ยมทูตมีจริง ทีนี้วิญญาณเทพพรหมบางองค์ ทำผิดก็มี คือบางครั้งเทวดาที่ไม่ใช่ชั้นสูง พรหมที่ไม่ใช่ชั้นสูงแล้วไซร้ บางทียังถูกกระแสแห่งความมีโมหะ โทสะ เข้าแทรก เมื่อนั้นทำเกินขอบเขตแล้วไซร้ ถือว่าผิดกฎของโลกวิญญาณ เขาให้มาเกิดในโลกมนุษย์

ทพพรหมบางองค์เขาซึ้งถึงการเป็นอยู่ของโลกมนุษย์ในยุคนี้ดี ซึ่งเป็นยุคแห่งความโสมม คือการเป็นมนุษย์นี่ จะต้องเตรียมสติสัมปชัญญะพร้อมทุกเมื่อ ที่จะต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมที่จะเข้ามา มิเช่นนั้นแล้ว จะกลับขึ้นสู่ความเป็นเทพพรหมยาก ฉะนั้นเขาเหล่านี้ ก็อาจจะขอเกิดเป็นสัตว์ เช่น ขอเกิดเป็นห่าน เป็นหมา เป็นแมว ก็มี

ที้นี้ อย่างสัตว์จำพวกแมลงวัน บางทีอาจเกิดมาจากเทพพรหมที่เข้าฌานสมาบัติก็มี อันนี้อาตมาย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ให้ถือว่าฟังนิยาย ในระหว่างการเข้าฌานสมาบัติ เกิดมีเทวดามาทำให้ตื่นจากฌานสมาบัติ ในภาวการณ์นั้นแหละ อาจถูกการสาปแช่งว่า ให้เจ้านี้ไปเกิดเป็นยุง แล้วจะได้ไปเกิดเป็นจิ้งจก ตุ๊กแก อะไร ก็ว่ากันไปตามชนิดของสัตว์ต่างๆ เพื่อบำเพ็ญตนกลับสู่การเป็นเทวดา นี่คือ อีกจุดหนึ่งของการเป็นสัตว์เหล่านี้

เพราะฉะนั้น อาตมาจึงบอกว่า สัตว์บางตัวกินแล้วก็ได้บุญ สัตว์บางตัวกินแล้วก็ได้บาป เมื่อเราไม่มีการสำเร็จของเจโตปริยญาณ หรืออนาคตังสญาณแล้วไซร้ เราก็ควรที่จะเว้น ไม่กินได้มันก็ดี


พระเชาวน์ : สัตว์อะไรที่กินแล้วได้บุญครับ

สมเด็จ : อันนี้อรรถาธิบายให้ฟังไม่ได้ เพราะว่ามันเฉพาะบางตัว พูดง่ายๆ เทวดาบางตนเขาขอเกิดเป็นหมูจำศีล แต่เกิดมีมนุษย์ที่มันโลภว่า หมูตัวนี้อ้วนดี เอาไปขายดีกว่า นี่มันต้องแยกแยะ จะให้อธิบายเป็นรายตัวไปไม่ได้ เพราะแล้วแต่เทพพรหมจะไปจุติ แล้วแต่เขาจะมาเสวยกรรมวิบากอะไร

พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ ยังเคยจุติในโลกมนุษย์ เกิดเป็นปลาหมอ ปลาไหล ก็เคยมี อันนี้จะให้อาตมาเจาะจงว่า สัตว์อะไรกินแล้วไม่บาปนั้น อาตมาอธิบายไม่ได้ มันแล้วแต่กรรม วาระของผู้นั้นที่จะไปเจอในสิ่งนั้นๆ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๐

การแบ่งเพศชายหญิงในโลกวิญญาณ


(วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๒)



สานุศิษย์ : การที่มนุษย์เกิดเป็นหญิง ชาย สืบเนื่องจากดวงวิญญาณที่เป็นหญิง เป็นชาย หรือว่าสืบเนื่องจากอะไรครับ

สมเด็จ : คือ การเกิดเป็นชายหรือเป็นหญิงนั้น มันเป็นจุดของกรรมวิบากในตอนปฏิสนธิเป็นใหญ่

วิญญาณที่อยู่ในโลกวิญญาณการเป็นหญิงเป็นชายนี้ จะอยู่ในวิญญาณประเภทพวกเปรต อสุรกาย อมรมนุษย์ รุกขเทวดา ผีตายโหง เหล่านี้ ยังมีการแบ่งเป็นหญิงเป็นชาย

ภาวะของการเป็นอยู่ของเทพพรหมชั้นสูงแล้ว ในสภาพการณ์ของกิเลส การแบ่งเป็นหญิงเป็นชายนี้จะไม่มี มีก็น้อยเต็มที และถ้าผู้บำเพ็ญสู่อรูปพรหมแล้วไซร้ ย่อมตัดกิเลสแห่งการเป็นหญิงเป็นชายสิ้น ณ บัดนั้น

คือในภาวะแห่งการณ์เทศน์ของอาตมา ก็ได้เทศน์ไว้แยะแล้ว เรียกได้ว่า เทศน์ไว้แล้วทุกแง่ทุกมุม แต่มนุษย์ถือว่าเป็นเรื่องฟังเล่น ฟังแล้วก็ผ่านไป ไม่คิด


การที่ทุกวันนี้โลกยุ่งเหยิง การที่ทุกวันนี้โลกไม่สงบ การที่ทุกวันนี้สังคมปั่นป่วน ก็เพราะมนุษย์หลงตัวเอง หลงอำนาจ หลงความเป็นคน หลงว่าตัวทำถูกทุกอย่าง คือไม่พยายามพิจารณาตัวเอง มันจึงทำให้เกิดผลแห่งวิบากกรรม เกิดความชุลมุนอลหม่านขึ้น

ในหลักแห่งการเป็นคนแล้ว การทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีการพิจารณาด้วยปัญญา ไม่มีมโนยิทธิแห่งความแน่วแน่ ของการทำงานแล้วไซร้ ทุกอย่างย่อมที่จะพลาด

การเกิดเป็นคน ถ้าไม่มีศีลก็ต้องมีสัตย์ ถ้ามนุษย์ผู้ใดไม่มีทั้งศีลไม่มีทั้งสัตย์ มนุษย์ผู้นั้นเลวยิ่งกว่าสัตว์เดียรัจฉาน แล้วอย่านึกว่าตนเป็นผู้ประเสริฐกว่าคนอื่น และในการวางตนอยู่ในโลกมนุษย์นี้ เพราะหลงตน ถือตนเป็นใหญ่ จึงเกิดความวุ่นขึ้นในโลกมนุษย์

ในการที่อาตมามาสำนักปู่สวรรค์นี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะขัดเกลามนุษย์ แต่เวลานี้อาตมารู้สึกปล่อยตามภาวะกรรม เขาเรียกว่า กระแสคลื่นอารมณ์หลงของมนุษย์ มันแรงกว่าที่เราจะต้าน เมื่อมันแรงกว่าที่เราจะต้าน หลักของปฏิปทาก็คือ ปล่อยวาง

เพราะฉะนั้น ในการทำงานอะไรต่อไป ให้มนุษย์ช่วยใช้สมองบ้าง แล้วทำอะไร จงจำเอาไว้ว่า งานที่ยากที่สุด คืองานศาสนา ถ้าท่านคิดจะทำงานศาสนา แต่ไม่มีการเสียสละแล้ว อาตมาอยากจะพูดว่า อย่าเข้ามายุ่งดีกว่า เพราะถ้ามนุษย์เราไม่รู้จักบริหารเวลา ก็ย่อมไม่มีเวลา

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๙

กรรมที่ทำให้เสียสติ


(วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๒)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อสมเด็จครับ ผมขอถามปัญหาสัก ๓ ข้อครับ

๑. การที่คนเสียสตินั้น เพราะทำกรรมอันใดไว้


๒. เมื่อตายไปทั้งๆ ที่เสียสตินั้น จะไปเกิดในสุคติหรือทุคติ และจะไปเกิดโดยเสียสติอีกหรือไม่


๓. จะมีทางแก้ไขอย่างไร เมื่อผู้เสียสตินั้นตาย จะให้ภาวนาได้อย่างไร


สมเด็จ : คือ ในหลักการแห่งการที่มนุษย์เกิดมาเสวยกรรมวิบาก แห่งการเป็นผู้ไร้สติสัมปชัญญะแห่งการเป็นคนนี้

สืบเนื่องจากในอดีตกาล บุคคลนั้นไม่รักษาในเบญจศีลและเบญจธรรมให้ครบ เป็นบุคคลที่โลภในทรัพย์ อิจฉาริษยามนุษย์ด้วยกัน และอารมณ์แห่งวาระสุดท้ายแห่งการตายนั้น ยังข้องอยู่ในหลักแห่งทุกข์หรือไม่

ถ้าผู้นั้นตายด้วยไม่ใช่อายุขัย เกิดมาอีกครั้งก็คือผู้เสียสติ ถ้าผู้ที่ตายแบบถึงอายุขัย เมื่อเสวยในกรรมวิบากแล้วไซร้ ในเทวโลกก็ดี ยมโลกก็ดี ถึงภาวะเกิดมาอีกที อาจจะเกิดมาเป็นคนเซ่อ นั่นคือสภาพการณ์ของต่างกรรมต่างวาระ แล้วมนุษย์ผู้นั้นปฏิบัติอย่างไร เข้าใจไหม
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๘

ไปรบเวียดนามมีบาปไหม


(วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณวีระ ทัดทอง : หลวงพ่อสมเด็จครับ การไปรบเวียดนามนี่ มีบาปมีกรรมหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : คือว่าในเรื่องสงครามนี้ เป็นเรื่องของมนุษย์ ที่เรียกว่ามีตัวโลภครอบงำ สิ่งเหล่านี้ เราต้องตั้งคำถาม ถามก่อนว่าเรารบเพื่ออะไร รบเพื่อความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ รบเพื่อตัวโลภ หรือว่ารบเพื่ออะไร

ในสภาพการณ์ การฆ่าสัตว์ทุกชนิดย่อมมีบาป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเรามีเจตนาฆ่า แล้วในเรื่องสงครามนี้ มันเป็นเรื่องของมนุษย์ที่ไม่รู้จักพอ ถ้ามนุษย์เราทุกคนที่อยู่ในโลกนี้ รู้จักตัว “พอ” พอจิต พอใจ พออยู่ รู้ภาวะแห่งการเป็นคน ว่าการเป็นคนนั้นมีอายุขัยเท่าไหร่ ทรัพย์สินวัตถุเรามีเท่าไหร่ พอกินไหม วันหนึ่งๆ เรากินกี่มื้อ


ถ้ามนุษย์เรามีอันนี้รู้ว่า ทรัพย์สินวัตถุสิ่งสมมตินี้ ตายไปแล้วเอาไปไม่ได้ มนุษย์ผู้นั้นก็ย่อมไม่มีตัวโลภ เมื่อมนุษย์ไม่มีตัวโลภ สงครามย่อมไม่มีเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น สงครามเกิดจากมนุษย์ที่มีตัวโลภและมีตัวโกรธ อันนี้เรียกว่า อกุศลอารมณ์ย่อมปะปนอยู่กับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นก็พิจารณากันเอง

คุณวีระ : ได้บาปได้กรรมนี้ มันจะมากน้อยเท่าไหร่ครับ ตายแล้วจะตกนรกไหมครับ ตกนรกขุมไหนครับ

สมเด็จ : ฆ่าด้วยเจตนา หรือ ฆ่าเพื่อป้องกันตัว

กฎของโลกวิญญาณเขามีความยุติธรรม ท่านฆ่าด้วยเจตนาย่อมตกนรกขุมลึก ถ้าท่านฆ่าเพื่อป้องกันตัว ก็ย่อมที่จะได้ตกนรกขุมที่ไม่ลึก สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะให้เจาะจงลงไปว่าตกนรกขุมไหนนั้น เป็นการชี้ไม่ได้ เพราะว่าความละเอียด และความยุติธรรมของกฎแห่งกรรม ของโลกวิญญาณนั้น เขาถี่ยิบ

เรื่องของกรรมของคนๆ หนึ่ง อธิบายเป็นวันๆ ก็ไม่จบ เพราะฉะนั้นจึงให้ความแน่นอนไม่ได้ว่า จะตกขุมไหน หรือไม่ แต่ว่าเมื่อท่านสร้างบาปแล้ว ท่านมีกระแสจิตมารู้ในเรื่องการสร้างบุญ ท่านจงหมั่นสร้างกุศล เพื่อที่จะไปดุลกรรมที่เราสร้างอกุศล ก็อาจจะช่วยเราได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

คุณวีระ : ทำบาปมากๆ แล้วทำบุญกุศลชดใช้ จะชดใช้ได้ไหมครับ

สมเด็จ : โลกวิญญาณเขาไม่มีการลบล้าง คือ บาปต้องเสวยบาปแน่นอน บุญต้องเสวยบุญแน่นอน ทีนี้ ในเรื่องปาณาแล้วไซร้ เขาเรียกว่า เจตนาแห่งการฆ่าย่อมที่จะต้องมีกรรมสนองในอันนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ละเอียด ที่ต้องอธิบายเป็นวันๆ ที่จะหมดเปลือกแห่งกฎแห่งกรรมนี้
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๗

จำแนกบาป บุญ


(วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



ทหารรบเพื่อประเทศชาติเป็นบุญหรือบาป


คุณส่งศักดิ์ น้อมศิริ : หลวงพ่อครับ กระผมมีเรื่องสงสัยที่จะกราบเรียนถามหลวงพ่อครับ คือทหารที่ไปรบเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง จะเป็นบาปเป็นบุญอย่างไร มากน้อยแค่ไหนครับ

สมเด็จ : คือ ในด้านสงครามนั้น มันเป็นเรื่องของมนุษย์ที่หวังจะเป็นใหญ่เรียกว่าถูกสามเมาครอบงำ คือมนุษย์ฝ่ายหนึ่งเมายศ (โลภ) มนุษย์ฝ่ายหนึ่งเมาโกรธ มนุษย์ฝ่ายหนึ่งเมาหลง เมื่อสามนี้ครองอยู่ในมนุษย์เหล่าใด มนุษย์เหล่านั้นก็ไม่มีความสันติสุข ย่อมมีการเบียดเบียนกัน

ทีนี้ ในการที่ว่ารบเพื่อประเทศชาติ เพื่อหมู่คณะนั้นเป็นอย่างไร ถ้าจะอธิบายในหลักของธรรมะล้วนๆ แล้ว ฆ่าสัตว์ย่อมมีบาปทุกคน แต่ว่าบาปนั้นจะหนักหรือเบา เรียกว่า เป็นอนันตริยกรรม หรือเป็นเพียงกรรมธรรมดา


อย่างการที่เราเป็นผู้น้อย ถูกผู้ใหญ่สั่งไป ภาวะของโลกวิญญาณเขาถือหลักว่า เราไม่มีเจตนาแห่งการฆ่า อีกคนหนึ่งสั่งเราฆ่า เพราะฉะนั้นในกรรมอันนี้ เขาถือว่าได้รับส่วนในการรับผิดชองเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งผู้สั่งจะต้องรับ

ทีนี้ ในเรื่องของคำว่าเพื่อหมู่คณะนั้น ก็คือว่า มนุษย์ทุกคนรักหมู่คณะ มนุษย์ทุกคนรักประเทศชาติที่ตนยึดมั่น จนไม่รู้ซึ้งถึงสัจจะแห่งการเกิดเป็นมนุษย์ ไม่รู้ซึ้งถึงสัจจะแห่งการเป็นคนในปรภพ จึงทำให้เกิดความรักแห่งการชาตินิยม ถือตน ถือทิฐิจนมากเกินไป ไม่คิดถึงว่าเป็นมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้นแหล่

อันนี้อาตมาจะไม่วิจารณ์อะไรมาก เพียงแต่ว่าท่านฆ่าด้วยไม่มีเจตนาที่จะฆ่า เพราะไม่มีความโกรธแค้นกันมา ไม่รู้จักมักจี่ในเหล่าศัตรู ก็คือว่าเป็นส่วนบาปแต่น้อยหน่อย เพราะว่าไม่มีเจตนาแห่งการสร้างกรรมแห่งการฆ่า เจตนากรรมไม่มี เป็นการที่ถูกบังคับให้กระทำ อันนี้ถ้าท่านสร้างกุศลก็อาจจะเป็นอโหสิกรรมกับวิญญาณนั้นๆ ที่ถูกฆ่า

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-6-26 08:17 , Processed in 0.060143 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.